ในช่วงเวลานี้ที่ใครหลายคนต่างกำลังมีการสู้ชีวิตเกี่ยวกับสังคมยุค 4.0 นี้อยู่นั่นเรื่องราวต่าง ๆ กับการดำรงชีวิตก็มักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำเสมอทั้งในแง่บวกและลบมาโยเสมอต้นแบบที่บ้างครั้งนั่นเราเองก็ต่างที่จะไม่สามารถจะรู้ตัวเองได้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นจะมาถึงตัวเราเองตอนไหนกัน คือทำไมในบทความนี้ผมเองถึงได้กล่าวนำข้างต้นรูปแบบนี้ ก็เพราะชีวิตในยุคเทคโนโลยีที่เราต่างก็แย่งชิงความเป็นที่หนึ่งบ้าง การเอาตัวเองให้รอดพ้นบ้าง มันก็จะมีเรื่องที่ชีวิตเราเองไม่คาดคิดอยู่เสมอมาเซอร์ไพรเราอยู่ตลอดกก็ว่าได้
ซึ่งใครหลายคนก็มักจะแนะนำผมว่าถ้าอยากที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขก็ควรที่จะปรับการใช้ชีวิตให้อยู่แบบพอเพียงจะดีที่สุด แต่ในหลายแง่มุมเหล่านั่นผมเคยลองถามตัวเองดูว่าถ้าเราเอาเข้าจริงแล้วเราจะสามารถทำแบบที่ว่าได้จริงหรือเปล่า ผมรีบตอบทันทีว่าไม่ครับ เรื่องนี้มีอยู่ว่าคนเรานั่นโดนละเลยเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กตัวอย่างเช่น คุณชอบทานข้าวมันไก่หากวันนึงอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาห้ามว่าคุณต้องห้ามทานข้าวมันไก่ไปตลอดเลยนะแม้แต่จะคิดก็ไม่ได้ผผผมถามสิว่าคุณจะทำได้เปล่าครับ ซึ่งแทบจะไม่ต้องถามคุณเลยผมก็ตอบแทนคุณได้ว่าไม่ได้อยู่ดีใช่เปล่าครับ นั่นแหละคือเงือนไขของการใช้ชีวิตในยุค 4.0 นั่นเองซึ่งหลายคนที่บอกว่าให้เราลองพอเพียงและพอดีดูนั่นผมว่ามันสายไปหรือเปล่า แต่ในบางรายที่เข้าสามารถปรับตัวได้เร็วนั่นเข้าก็อาจจะทำได้ดีเลยก็เป็นได้ ผมว่ามันอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าแนวคิดละเรื่องนี้
จะอย่างไรก็ตามผมคิดว่าหากเราสามารถที่จะลองปรับตัวให้ข้ามผ่านสิ่งเหล่านั่นไปได้เราเองก็อาจจะมีชีวิตที่ดีขึ้นมาจริง ๆ ก็อาจจะเป็นได้นะ เพราะผมว่าทุกเรื่องราวมักจะมีสิ่งดี ๆ ซ้อนอยู่ด้วยเสมอนะ มันแล้วแต่มุมมองที่แต่ละคนมีวิถีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอยู่แล้วนั่นเอง ถ้าหลักคำสอนนี้ไม่สามารถที่จะใช้งานได้จริงผมมองว่าเข้าคงจะไม่มาแนะนำเป็นบทความต่าง ๆ ให้เราอ่านกันอย่างแน่นอน จะเป็นอย่างไรนั่นผมว่าอยู่ที่เรานั่นจะกล้าเปิดใจยอมรับฟังสิ่งใหม่ ๆ เองหรือเปล่าผมว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องโดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้ นี่ผมกำลังจะจบบทความนี้แบบที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายนะครับ